หมวกนิรภัย รู้ไว้มั่นใจ – ชีวิตปลอดภัย

หมวกนิรภัย หรือ หมวกเซฟตี้

หมวกนิรภัย ช่วยป้องกันศีรษะจากวัตถุที่ตกลงมากระแทก โดยรองในหมวกนิรภัย ทำหน้าที่ช่วยกระจายแรงกระแทกให้เป็นบริเวณกว้างขึ้น และ ช่วยดูดซับแรงกระแทกให้เบาลง เพื่อลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุหรืออันตรายที่เกิดขึ้น   ซึ่ง หมวกนิรภัย ผลิตจากวัสดุคุณภาพเยี่ยมที่มีความแข็งแรง ทนทาน สามารถทนต่อแรงกระแทก การเจาะ การทุบ ได้เป็นอย่างดี

1. ประเภทหมวกนิรภัย

หมวกนิรภัยมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะผ่านการทดสอบที่ไ่ม่เหมือนกัน  ดังนั้น การเลือกใช้หมวกนิรภัยที่เหมาะสมกับหน้างานจึงเป็นสิ่งสำคัญ  เราควรรู้เกี่ยวกับมาตรฐานการทดสอบของหมวกนิรภัยที่มีทั้งหมด ได้แก่ EN397, ANSI/NZ1801,ANSI Z89.1, และมาตรฐาน มอก.368-2554 และจะต้องดูว่ามีคำอธิบายอยู่ด้านในของหมวก มีเครื่องหมายการค้า ซื้อผู้ผลิตสินค้า วัน เดือน ปีที่ผลิต บอกประเภท ชนิดของสินค้า วัสดุที่ใช้ในการผลิต รวมถึงค่าการทดสอบด้านไฟฟ้า เพื่อให้มั่นใจว่าหมวกนิรภัยที่ใช้งานมีประสิทธิภาพที่ดีตรงตามมาตรฐานความปลอดภัย และเหมาะสมกับงาน

การทดสอบหมวกนิรภัย มาตรฐาน EN397

EN397 เป็นมาตรฐานที่เจาะจากับร่างการและประสิทธิภาพ ความปลอดภัยในการใช้ ในงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีข้อบังคับของการทดสอบที่แน่นอน โดยหมวกนิรภัยที่ผ่านมาตรฐาน EN397 จะต้องผ่านมาตรฐานการทดสอบดังนี้ 
      1. การดูดซับแรงกระแทก
      2. การป้องกันแรงเจาะทะลุ
      3. การต้านทานการติดไฟ
      4. การป้องกันแรงบีบข้าง 

 

ข้อกำหนดเพิ่มเติมสำหรับหมวกนิรภัยทั้งหมดได้รับการรับรองมาตรฐาน  EN397

อุณหภูมิต่ำมาก ( -20 หรือ – 30 องศา)

อุณหภูมิสูงมาก (บวก 150 องศา)

ฉนวนไฟฟ้า (440 v)

โลหะหลอมเหลว

การเสียรูปด้านข้าง

การทดสอบหมวกนิรภัย มาตรฐาน AS/NZS 1801

AS/NZS 1801 เป็นอีกมาตรฐานของประเทศออสเตรเลีย ที่กำหนดขึ้นมาเพื่อใช้ในการทดสอบคุณภาพของหมวกนิรภัย  โดยแบ่งตามนี้
Type 1 :   General Industrial  สำหรับงานทั่วไป
Type 2 :   High  Temperature  สำหรับงานที่ทำอยู่ในที่มีอุณหภูมิสูง
Tัype 3 :  Bushfire  Fighting  สำหรับงานที่ผจญกับไฟ

การทดสอบหมวกนิรภัย มาตรฐาน ANSI Z89.1

ANSI Z89.1  ได้กำหนดแบ่งหมวกนิรภัย ออกได้ตามลักษณะของการกันกระแทกและการกันไฟฟ้า  โดยหมวกนิรภัยที่กันกระแทกได้แบ่งเป็น 2 ประเภท

ประเภทที่ 1 หมวกมีกระบังด้านหน้า

หมวกนิรภัยประเภทนี้  จะถูกออกแบบให้สามารถกันกระแทกจากด้านบน  แต่ไม่ออกแบบ สำหรับกันกระแทกจากด้านข้าง

ประเภทที่ 2 หมวกแบบปีกหมวกเต็ม

หมวกนิรภัย ประเภทนี้ จะถูกออกแบบให้สามารถกันกระแทกได้ทั้งจากด้านบนและด้านข้าง

ANSI Z89.1  จะแบ่งหมวกนิรภัยประเภทกันไฟฟ้า  ออกเป็น 3 ประเภท
1.  CLASS E (Electrical)  :  หมวกประเภทนี้  ออกแบบเพื่อให้สามารถกันไฟฟ้าได้ดีที่ 20,000 โวลต์
2.  CLASS G (General)  :  หมวกนิรภัยประเภทนี้  จะต้องผ่านการกันไฟฟ้าได้ดีที่ 2,200 โวลต์
3.  CLASS C (Conductive)  :  หมวกนิรภัยประเภทนี้  ไม่กันไฟฟ้า และไม่มีการทดสอบกันไฟฟ้า

การทดสอบหมวกนิรภัย มาตรฐาน มอก 368-2554

มอก. 368-2554  เป็นหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการทดสอบหมวกนิรภัย สำหรับงานอุตสาหกรรม จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม  กระทรวงอุตสาหกรรม โดยอาศัยข้อมูลจากเอกสารเหล่านี้  เป็นแนวทางในการกำหนดมาตรฐาน  เช่น ANSI Z89.1-2003, ISO/DIS 6220-1983, SAE J211-1988, และมอก. 1151-2541 เป็นต้น

ประเภทของหมวกนิรภัย

1. หมวกเซฟตี้ ประเภท E
E ย่อมาจาก  Electrical  มีความสามารถในการป้องกันไฟฟ้าได้ดี  โดยการใช้แรงเคลื่อนไฟฟ้ากระแสไฟฟ้ากระแสสลับ ขนาด 20,000 โวลต์  ที่ 50 – 60 ไซเคิลต่อวินาที  เป็นเวลา 3 นาที และจะมีกระแสไฟฟ้ารั่วไม่เกิน 9 มิลลิแอมป์

2. หมวกเซฟตี้ ประเภท G

G ย่อมาจาก General  มีความสามารถในการป้องกันไฟฟ้าที่ 2,200 โวลต์ ที่ 50-60 ไซเคิลต่อวินาทีในเวลา 1 นาที และกระแสจะรั่วไม่เกิน 1 มิลลิแอมป์  มีการทดสอบความทนต่อการไหม้ไฟ  และการทดสอบความคงทนต่อแรงกระทำ  ซึ่งหมวกนิรภัยทุกชนิดนั้น จะช่วยลดอันตรายจากการถูกวัสดุตกมากระทบกระแทกศีรษะได้มาก  หากมีการใช้งานอย่างถูกวิธี  และถูกต้อง

3. หมวกเซฟตี้ ประเภท C

C ย่อมาจาก  Conductive เป็นหมวกเซฟตี้ที่ไม่สามารถป้องกันไฟฟ้าได้ และไม่มีการทดสอบการกันไฟฟ้าใด ๆ ทั้งสิ้น

2. ประสิทธิภาพในการป้องกันของหมวกเซฟตี้

สำหรับประสิทธิภาพในการป้องกันศีรษะของหมวกเซฟตี้นั้น นับว่ามีมากมายหลายประการ  และต่อไปนี้คือ ประสิทธิภาพในการป้องกันของหมวกเซฟตี้
  • มีความสามารถในการกันกระแทก
  • มีความสามารถในการกันไฟ
  • มีความสามารถในการป้องกันการเจาะทะลุ
  • มีความสามารถในการกันไฟฟ้า
  • มีความสามารถในการดูดซับพลังงานการกระแทก
  • มีความสามารถในการเจาะทะลุนอกเหนือจากศูนย์กลางหมวก
  • มีความสามารถในการคืนตัวของรองในหมวก

3. ข้อแนะนำในการใช้งานและการดูแลรักษาหมวกนิรภัย

  1. ก่อนการใช้งานทุกครั้ง  ตรวจสอบหมวกนิรภัย  หากมีส่วนใดชำรุดเสียหาย  ควรเปลี่ยนใหม่ทันที  และไม่ควรนำหมวกนิรภัยที่มีรอยร้าย รอยถลอก หรือรอยสึกมาใช้งาน  เพราะหมวกนิรภัยที่ชำรุด  จะทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันลดลง
  2. หากมีการใช้หมวกนิรภัยต่อพวงกับอุปกรณ์อื่นๆ เช่น Earmuff หรือ Face Shield  ควรเลือกอุปกรณ์ที่สามารถประกอบต่อกันพอดี  เพื่อป้องกันไม่ให้อุปกรณ์หลุดในขณะใช้งาน
  3. ควรใส่สายรัดคางทุกครั้ง  เพื่อป้องกันหมวกนิรภัยเลื่อนหลุด
  4. ปรับสายรัดและสายรัดคางให้กระชับพอดี
  5. ควรสวมใส่หมวกนิรภัยตลอดเวลาการทำงานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง
  6. ไม่ควรเก็บไว้ในที่มีอุณหภูมิสูง หรือที่มีแสงแดดส่องถึงโดยตรง  แต่ควรเก็บหมวกนิรภัยในสถานที่ที่เหมาะสม  และหลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะอาจส่งผลต่อสี และประสิทธิภาพการป้องกันของหมวกนิรภัยได้
  7.  ไม่ควรใช้สารละลาย หรือสารเคมีรุนแรงทำความสะอาด  เพราะอาจทำให้คุณภาพของหมวกลดลง
  8. ควรทำความสะอาดหมวกนิรภัยอย่างสม่ำเสมอ  โดยการใช้น้ำอุ่นและสบู่อ่อน
  9. ควรถอดชิ้นส่วนที่ติดมากับหมวก (ชุดรัดศีรษะ และแถบซับเหงื่อ) ก่อนทำความสะอาด
สุดท้ายนี้ การเลือกหมวกนิรภัยให้เหมาะสมกับการใช้งานและสถานที่ของงานนั้น  เป็นสิ่งสำคัญ  รวมกับการปฏิบัติตามกฏความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด  ควรสวมใส่หมวกนิรภัยทุกครั้งที่ต้องทำงานในพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ  และอันตรายจากสิ่งของตกใส่ศีรษะ  เพื่อช่วยให้เกิดความปลอดภัยและให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้งานมากขึ้น  รวมทั้งยังสามารถลดความเสี่ยงจากการเกิดอันตรายได้เป็นอย่างดี

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Shopping Cart
Scroll to Top